Marshall Stanmore II Voice : ลำโพงบ้านรุ่นใหญ่ รองรับ Google Assistant
Marshall Stanmore II Voice Bluetooth Speaker
ลำโพงติดบ้านรุ่นใหญ่ รองรับ Google Assistant !!
(Degree : เบสหนัก ฟังสนุก สั่งการด้วยเสียงได้)
ที่มาของ “ Marshall ”
- Marshall แบรนด์ลำโพงชั้นนำสุดคลาสสิค ที่เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1962 โดย จิม มาร์แชล(Jim Marshall) ในยุคเริ่มแรกของทางบริษัท เริ่มโด่งดังมาจากการสร้างแอมป์ขยายเสียงสำหรับกีตาร์ไฟฟ้า ตั้งแต่ขนาดเล็กจนไปถึงขนาดใหญ่ ซึ่งนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นอย่าง ริตชี แบล็กมอร์ , พีต ทาวน์เซนด์ ก็ต่างออกมายอมรับถึงคุณภาพของตู้แอมป์ของเขาว่าได้คุณภาพได้มาตรฐาน จึงเกิดเป็นเรื่องเล่า “แบบปากต่อปาก” ไปถึงวงดนตรีหลายๆวง ต่อมาแบรนด์ Marshall ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดนักดนตรี จนทำให้ Jim Marshall สามารถพัฒนาและขยายรุ่นสินค้าต่อไปได้อีกหลายรุ่น
- ในเวลาต่อมา เทคโนโลยีเริ่มมีการแปรผันปรับเปลี่ยนการใช้อุปกรณ์ ให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น จากยุค Analog มาเป็นยุค Digital ทางบริษัท Marshall ก็ได้เริ่มปรับเปลี่ยนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของเขาอยู่ตลอด โดยมีตั้งแต่ตู้แอมป์กีตาร์รุ่นใหม่ๆ ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ , ลำโพงแบบบลูทูธ , หูฟัง ซึ่งจุดแข็งของทางบริษัท Marshall ก็คือ ยังคงคุณภาพความคลาสสิคในเรื่องของดีไซน์และยังคงใส่ใจในเรื่องของเสียงไว้นั่นเองครับ
จุดเด่นของ Marshall Stanmore II Voice ที่ทำให้แตกต่าง
- จุดเด่นของเขาเองก็คือ ระบบรับคำสั่งเสียงที่สามารถ Link กับบัญชี Google โดยใช้แอพพลิเคชั่น Google Home , Google Assistant , Marshall Voice มาเป็นตัวช่วย ซึ่งเท่าที่ทางทีมงานได้ลองเล่น ลองสัมผัส ระบบปฏิบัติการและตัวลำโพงเองก็สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างสเถียรครับ สามารถสั่งเปลี่ยนเพลง , สั่งเพิ่ม-ลดเสียง , เปลี่ยน Playlist ใน Spotify , เช็คสภาพภูมิอากาศ เรียกง่ายๆว่าใช้ชุดคำสั่งได้เหมือนกับการใช้งานร่วมกับโทรศัพท์มือถือได้สบายๆล่ะครับ แม้ว่าตัวจะอยู่ห่างลำโพงในระยะ 3 - 4 เมตร ก็สั่งการด้วยเสียงเบาๆได้สบาย
- ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกในส่วนของด้านหน้าลำโพง ก็มีเพิ่มไฟสถานะของตัวลำโพงมาให้ ส่วนทางด้านบนลำโพง แผงควบคุมในส่วนของ Volume Knob , Bass , Treble ยังมีให้ใช้งานเหมือนเดิมครับ แต่เพิ่มเติมในส่วนของไมค์โครโฟน และปุ่มเปิด - ปิดไมค์มาให้ ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้ไม่น้อยเลยครับ
Marshall Stanmore II Voice เหมาะกับใคร ???
คนที่ชอบใช้เทคโนโลยีเป็นตัวสั่งการ !!!
- ตัวลำโพงสามารถควบคุมการเล่นเพลง ผ่านเทคโนโลยีสุดไฮเทค อย่างระบบการสั่งการด้วยเสียง Google Assistant ช่วยอำนวยความสะดวกในเวลาที่เราทำกิจกรรมอื่นๆอยู่ เช่น อยากลด-เพิ่มเสียง ก็สามารถสั่งการได้โดยที่ไม่ต้องเดินไปที่ตัวลำโพงครับ
ใครหาลำโพงสวยๆ เอามาเป็นเฟอร์นิเจอร์หรูๆได้ เชิญ!!!!!!
- ตัวลำโพงไม่ได้มีดีแค่เรื่องเสียง เพราะมีดีไซน์ที่เรียบหรู พรีเมียม สะดุดตามากๆ เหมาะสำหรับคนที่หลงรัก “ดีไซน์แบบย้อนยุค คลาสสิค” หลงรักความเป็นแบรนด์ Marshall แค่เอามาตั้งไว้บนโต๊ะทำงานเฉยๆ ก็สามารถเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้แล้วครับ
ใครเพื่อนมาบ้านบ่อยๆ...รักความสนุกและหลงใหลในเสียงเพลง ต้องจัด!!!
- เป็นลำโพงที่เหมาะกับการใช้งานภายในบ้าน มากกว่าการพกพาไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากไม่มีแบตฯในตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวลำโพงสามารถขับเสียงออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยมถึง 80 Watt. เรียกว่าให้พลังเสียงที่ดุดันมาก เพราะฉะนั้นการนำเจ้า Marshall Stanmore II Voice ไปใช้ปาร์ตี้ Hang Out กับเพื่อนๆก็ตอบโจทย์มากๆเลยล่ะครับ
ชอบดูหนัง , เล่นเครื่องเล่นแผ่นเสียง Vinyl ยุคเก่าๆ...ก็ตอบโจทย์ !!!
- เจ้าลำโพง Marshall Stanmore II Voice ตัวนี้รองรับทั้งการเชื่อมต่อแบบไร้สายและมีช่องเสียบสายสัญญาณ Aux-in , RCA (แดง-ขาว) ติดมาให้ด้วยทางด้านหลัง ทำให้ลำโพงตัวนี้รองรับการเสียบใช้งานได้หลากหลายอุปกรณ์มากยิ่งขึ้น ตั้งแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียงยุคเก่าๆ , ทีวียุคเก่าๆ , Smart TV ก็ใช้งานได้สบายๆเลยครับ
“ Marshall Stanmore II Voice ” Features
CONTROL YOUR MUSIC WITHOUT LIFTING A FINGER
- สามารถควบคุมการเล่นเพลง ผ่านเทคโนโลยีสุดไฮเทค อย่างระบบการสั่งการด้วยเสียง Google Assistant ที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไร้สาย (WIFI) ช่วยอำนวยความสะดวกและการจัดการกับตัวลำโพงในเวลาที่เราทำกิจกรรมอื่นๆอยู่ครับ
BUILD A MULTI-ROOM SYSTEM
- หากมีลำโพง Marshall Stanmore II Voice 2 ตัว ก็สามารถเชื่อมต่อลำโพงให้ Link และเล่นบทเพลงเดียวกันได้ ช่วยให้ลำโพงทั้งสองตัวที่อยู่คนละห้อง กระจายเสียงได้อย่างทั่วถึงมากกว่าเดิม
CUSTOMISE YOUR SOUND
- ที่แผงควบคุมสามารถ ปรับความดัง , ปรับ Tone เสียง Bass , Treble พร้อมตำแหน่งไฟที่แม่นยำ ช่วยให้ปรับเสียงให้เหมาะกับห้องได้ดั่งใจ
- ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ Knob ควบคุมยังมาพร้อมตำแหน่งไฟ LED ที่บ่งบอกถึงระดับได้อย่างแม่นยำ สะดวกต่อการใช้งานในที่แสงน้อย อย่างห้องนอนมากๆครับ
- สามารถควบคุม Knob ต่างๆ ผ่าน Application Marshall Bluetooth App ได้ หรือเพิ่ม-ลดระดับเสียงได้ แม้ว่าตัวจะอยู่ไกลลำโพงครับ
FAR-FIELD VOICE RECOGNITION
- ตัวลำโพงมาพร้อมไมค์โครโฟน แบบ FAR-FIELD VOICE ช่วยรับคำสั่งเสียงจากระยะไกลได้ดีมากๆ แม้บทเพลงจะเล่นผ่านลำโพงอยู่ ก็ยังสามารถสั่งการได้รู้เรื่อง
- หากบทเพลงกำลังเล่นอยู่ แล้วอยากทราบว่าเป็นบทเพลงอะไร ก็สามารถใช้ชุดคำสั่งเสียงได้เลยสะดวกมากๆครับ
ICONIC MARSHALL DESIGN
- ยังคงเอกลักษณ์ในเรื่องของดีไซน์แบบย้อนยุค , คลาสสิค ใช้วัสดุคุณภาพสูง คงเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์ Marshall ไว้ให้เหมือนลำโพงรุ่นแรกๆในปี ค.ศ. 1962 ที่สามารถนำไปวางที่ห้องไหน ภายในบ้านก็ยังดูสวย
MARSHALL VOICE APP
- แอพพลิเคชั่น Marshall Voice App สามารถตั้งค่าลำโพงเพิ่มเติมได้ เช่นการ Custom EQ , หรือเลือกใช้ Preset ที่ทาง Marshall ออกแบบมาให้ก็ได้ อีกทั้งยังช่วยให้เราควบคุมลำโพงจากระยะไกลได้ด้วยครับ
การเชื่อมต่อโดยสายสัญญาณ (Wired Connectivity)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบเสียบสายสัญญาณแบบ Aux in 3.5 mm. (Universal Audio) , RCA In สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่าง Smartphone , Computer , เครื่องเล่นเสียงต่างๆได้
เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกันสองอุปกรณ์ (Multi-Host)
- ตัวลำโพงรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกันสองอุปกรณ์ (Multi-Host) พร้อมสลับใช้งานได้อย่างสะดวก ใครมีทั้ง Mobile , Tablet ก็เชื่อมต่อทิ้งไว้เลยตั้งแต่ครั้งแรก และสลับการใช้งานได้เลยตามใจชอบ
Sound Review (รีวิวเสียง)
สำหรับใครที่เคยฟังอย่าง Marshall Stanmore II มาก่อน ทีมงานบอกเลยว่าโทนเสียงไม่ต่างกันแม้แต่นิดเดียว
สำหรับบทเพลง Mainstream , เพลงฮิตติด Top Chart ทั้งเพลงไทย , สากล
- ตัวลำโพง Marshall Stanmore II Voice สามารถตอบสนองย่านความถี่ของเสียงร้อง ในย่านเสียงกลาง ออกมาได้อย่างโดดเด่น น้ำเสียงของนักร้องได้โทนที่ธรรมชาติพุ่งออกมาด้านหน้า ให้ความรู้สึกที่อยู่แนวหน้าของชิ้นดนตรี ฟังง่าย ไม่โดนชิ้นดนตรีกลบเกลื่อนครับ
- ส่วนย่านความถี่ที่ต่ำและความถี่สูง(Low & High Frequency) สามารถตอบสนองและให้ความรู้สึกออกมาได้อย่าง Balance (พอดี) ในตำแหน่งที่ถอยหลังออกไป จากเสียงของนักร้อง ทำให้ได้มิติการฟังที่ดีครับ
- ถึงแม้ว่าบทเพลงบางเพลงจะมี Style EDM , Dance เข้ามาผสมผสาน เสียงย่านต่ำในเพลงเยอะๆ แต่เจ้าลำโพงตัวนี้ก็ยังให้เสียงร้องที่ชัดถ้อยชัดคำ ฟังได้ง่ายอยู่ครับ
ROCK STYLE
- ลองมาเริ่มกับเพลง Rock ช่วงต้นๆปี ค.ศ. 2000 กันหน่อย อย่างบทเพลงยอดฮิตอย่าง The Reason ของ Hoobastank
- ความรู้สึกแรกที่จับต้องได้คือ ความมันและความหนึบของเสียงกลองชุดพร้อมกีตาร์เบส เมื่อบทเพลงเริ่มมาด้วยกันทั้งแบรนด์ (เปียโน , กีตาร์ , เบส , กลอง) เจ้าลำโพง Marshall Stanmore II สามารถให้เสียงของ กระเดื่อง(Kick) และ สแนร์(Snare) ได้อย่างแน่น ให้อารมณ์เหมือนนั่งอยู่หน้ามือกลองได้เลยครับ (Kick กระแทกหน้า)
- พอเริ่มมีเสียงของนักร้องขึ้นมา คาแรคเตอร์ของลำโพงก็กลับมาเหมือนเดิมคือ ฟังร้องชัด พร้อมกับความมันของเสียงย่านต่ำ ที่คอยโอบอุ้มบทเพลงไปได้อย่างอวบอิ่ม
- ส่วนในท่อนฮุคของเพลงที่เริ่มมีเสียงแตกของกีตาร์ไฟฟ้า(Distortion) นักร้องก็ยังชัดอยู่ แม้ว่าจะมีเสียงของกีตาร์ที่หนา เพิ่มเข้ามา โดยที่เสียงกีตาร์ไฟฟ้าในเพลงนี้ได้โทนที่หนาและพุ่งมากๆจากตัวลำโพง แต่มิติและความแม่นยำนั้นยังยอดเยี่ยม ไม่ได้รู้สึกว่าโดนบดบังแต่อย่างใด
วง Nickelback (ROCK)
- เริ่มอัดไปกับเพลงมันๆ กระแทกกระทั้นอย่าง Edge Of A Revolution เลยล่ะกัน
- เจ้าลำโพง Marshall Stanmore II Voice ยังคงคาแรคเตอร์เสียง ความมันที่เป็นเอกลักษณ์ในการฟังเพลง Rock ไว้ได้อย่างโหดมากๆ เอาคาแรคเตอร์เสียงกีตาร์ไฟฟ้า , กีตาร์เบส , และกลองชุด ออกมาได้อย่างทรงพลังเลย โดยความหนาของเนื้อเสียงกีตาร์ไฟฟ้ายังเป็นธรรมชาติ ฟังสนุก ให้ความรู้สึกได้คล้ายการฟังลำโพงจากห้องอัดได้ โดยที่ให้ความรู้สึกที่โดนบิดเบียนมาจากเสียงจริงน้อยมากๆครับ
Stereo Image
- สำหรับเรื่องมิติความกว้างของ Stage ทีมงานถือว่าตอบโจทย์แบบนั้นได้ยาก เรียกว่าไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของการฟังแบบกว้างๆแยกมิติขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นจุดเด่นของเขาจริงๆ ทีมงานยกย่องในเรื่องของมิติความลึกมากกว่า ที่สามารถจับต้องได้แบบไม่ยากว่าเครื่องอะไรอยู่ข้างหน้า,ข้างหลัง ทำให้การฟังเพลงนั้นได้อรรถรส ฟังสนุกมากๆครับ
สรุป
- คาแรคเตอร์เสียงของ Marshall Stanmore II Voice จะมีการให้เสียงที่โดดเด่นไปทางย่านเสียงต่ำ (Low Frequency) ที่สามารถตอบโจทย์คนชอบความแน่นได้แบบอิ่มๆ ฟังมัน โดยที่เนื้อเสียงของนักร้องนั้นยังคงฟังได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่โดนบัง เสียงชิ้นดนตรีที่โดดเด่นในเพลงร๊อค อย่างกีตาร์ไฟฟ้าและชุดกลองนั้นสามารถขับออกมาได้อย่างทรงพลัง ส่วนความถี่เสียงในย่านสูง (High Frequency) ก็ให้มาแบบหนาๆ ถึงจะไม่ได้เป็นโทนที่ใสกริ๊ง แต่ก็ฟังได้อย่างโปร่งๆไม่ขุ่นมัวเลยครับ
Product Specification (สเปคคร่าวๆ)
AUDIO SPECIFICATIONS
- ตอบสนองความถี่ : 50 – 20,000 Hz
- ปุ่ม Control (Front) : Volume , Bass , Treble
- STEREO/MONO : Stereo
- MAXIMUM SOUND PRESSURE LEVEL : 107 dB @ 1 m
- CABINET PRINCIPLE : Bass-reflex
- POWER AMPLIFIERS : 1x 50 Watt Class D amplifier for the woofer , 2 x 15 Watt Class D amplifiers for the tweeters
CONTROLS AND CONNECTIVITY
WI-FI
- Connects to your home Wi-Fi network with any WPA/WPA2, 802.11 a/b/g/n ac 2,4 GHz/5GHz with diversity
MICROPHONE SYSTEM
- A dual microphone array with acoustic noice cancellation for the far field voice interaction
WIRED CONNECTIVITY
- 3.5 mm Input
- RCA input
VOICE COMMAND
- The Google Assistant built-in
WIRELESS CONNECTIVITY
- Chromecast built-in
- Bluetooth
PHYSICAL UNIT
- DIMENSION : 350 x 195 x 185 mm
- WEIGHT : 4.85 kg
Product Include (อุปกรณ์ภายในแพคเกจ)
- ลำโพง Marshall Stanmore II Voice
- สายไฟ
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
Warranty (เงื่อนไขประกันสินค้า)
- รับประกัน 1 ปี ภายใต้เงื่อนไขที่ทาง Marshall กำหนด
- *** ในส่วนของอะไหล่ เเละสายชาร์จที่มากับตัวลำโพงจะมีระยะประกันอยู่ที่ 7 วัน
- คุณลูกค้าต้องเก็บตัวสินค้าไว้ให้ครบไม่ว่าจะเป็น กล่อง/ซองแพคเกจจิ้ง, ตัวลำโพง, สายสัญญาณ รวมไปถึง คู่มือการใช้งาน
- หากตัวสินค้าเสียหายจากขั้นตอนการผลิตของทางโรงงาน เปลี่ยนตัวใหม่ให้ทันที
- สินค้าต้องไม่มีตำหนิจากการใช้งานผิดวิธี, ตำหนิเสียหายจากการใช้งานของลูกค้า, ร่องรอยการกระแทก หรือการขูดขีดอย่างรุนแรง
- หากเป็นปัญหาจากการใช้งานของคุณลูกค้าไม่ว่าจะเป็น สายขาดใน, แจ็คหัก, เปิดเสียงดังจนเสียงแตก, เบิร์นลำโพงผิดวิธี(ใช้แอพเบิร์นหรือคลื่นเสียงประเภท Sine Sweep, Pink Noise, White Noise) จนดอกลำโพงเสียหาย จะไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน
- สินค้ารุ่นนี้ไม่มีมาตรฐานการกันนํ้า หากสินค้าเสียหายจากอาการนํ้าเข้าในทุกกรณี จะไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน
- อาการกระตุกของสัญญาณขณะใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณของอุปกรณ์ไร้สายเยอะๆ เช่นบนสถานีรถไฟฟ้า,ออฟฟิตขนาดใหญ่ ***เช่น กำลังฟังเพลงอยู่แล้วสัญญาณขาดหายแล้วกลับมาเป็นปกติ *** จะไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน
ขั้นตอนการเคลมสินค้า
ขั้นตอน 1 กรอกแบบฟอร์มการรับประกัน https://warranty.ash-asia.com/wholesale-warranty-claim/
เพื่อรับบริการรับประกัน โปรดติดต่อตัวแทนฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัท Ash asia ("CSR") โดยกรอกแบบฟอร์มเรียกร้อง ( https://warranty.ash-asia.com/wholesale-warranty-claim/) หรือทางอีเมลที่ [email protected]
ขั้นตอน 2 รับหมายเลข Claim ID (WSCI- xxxx ) สำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ
โปรดอย่าส่งคืนสินค้าใด ๆ หากไม่ได้รับหมายเลข RMA เนื่องจากทางบริษัท Ash asia ไม่สามารถติดตามสินค้ากับคุณและอาจสูญหายหรือถูกวางผิดที่ หากสินค้าใดถูกส่งคืนโดยไม่มีหมายเลข RMA ที่ถูกต้องทางบริษัท Ash asia จะไม่รับผิดชอบต่อสินค้าของคุณหากสินค้าเสียหายหรือสูญหาย
ขั้นตอน 3 จัดส่งผลิตภัณฑ์ของคุณไปยังศูนย์บริการของบริษัท Ash asia
กรุณาแพ็คสินค้า + อุปกรณ์ทั้งหมดลงกล่อง พร้อมจ่าหน้ากล่องว่า
ฝ่ายเคลมสินค้า และแจ้ง Claim ID
ที่อยู่ บริษัท แอชเอเชีย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ห้อง 2301 ชั้น 23 อาคารเดอะมิลเลนเนียทาวเวอร์ 62 ซ.หลังสวน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทร. 02-252-2990 ต่อ 105 (เบอร์สำนักงาน)
โปรดแน่ใจว่าหมายเลข Claim ID ( WSCI- xxxx ) ถูกพิมพ์อย่างชัดเจนบนกล่อง!
ขั้นตอน 4 บริษัท Ash asia ทำการประเมินผลิตภัณฑ์ของคุณและเตรียมการแก้ไขปัญหา
เมื่อได้รับและดำเนินการตามคำขอรับประกันของคุณแล้วคุณจะได้รับอีเมลยืนยันจากบริษัท Ash asia และช่างเทคนิคป้องกันตัวเลือกจะประเมินผลิตภัณฑ์ของคุณ โปรดทราบว่าโดยทั่วไปบริษัท Ash asia จะให้การยืนยันภายใน 2-3 วันทำการ อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีความต้องการใช้งานสูงสุดอาจใช้เวลาถึง 10 วันทำการ เพื่อให้บริษัท Ash asia ตอบกลับคุณ เมื่อบริษัท Ash asia ประมวลผลผลิตภัณฑ์ของคุณแล้วให้ซ่อมแซมเวลาตอบสนองโดยเฉลี่ย 5 วันทำการ
Fashion Island STORE | ไม่ |
---|---|
SKU | AD067-A1-A |
CTW STOCK | ไม่ |
MB STOCK | ไม่ |
ES STOCK | ไม่ |
WV STOCK | ไม่ |
Paragon STORE | ไม่ |