Review : Earfun Free Pro 2 หูฟังไร้สาย true wireless “เล็กและดี”
Review : Earfun Free Pro 2 หูฟังไร้สาย true wireless “เล็กและดี”
หลังจากที่ฝากผลงานสุดเจ๋งไว้กับหูฟังไร้สายรุ่นก่อนหน้านี้ด้วย Earfun Air Pro และ Earfun Free Pro จนผู้ใช้งานหูฟังทั่วโลกต่างชื่นชมในความคุณภาพและราคาที่แสนจะถูกของมัน บัดนี้ Earfun ได้ขอกลับลงสนามอีกครั้งด้วย Earfun Free Pro 2 หูฟังไร้สาย true wireless รุ่นล่าสุด ที่ดีไซน์มาจิ๋ว สเปกมาแจ๋ว มันจะเป็นยังไง เดี๋ยววันนี้ทีมงาน 425AUDIO จะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับหูฟังตัวนี้กันครับ
แกะกล่อง (Unboxing)
กล่องแพ็คเกจของ Earfun Free Pro 2 ออกแบบมาได้สวยงาม ข้อมูลสเปก รายละเอียดหลังกล่องก็ทำมาอย่างถูกต้องครบถ้วน เปิดออกมาปุ๊ป ก็จะพบกับกล่องชาร์จที่ห่อพลาสติกกันรอยมาอย่างดี พร้อมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ โดยแถมจุกหูฟังซิลิโคนมาให้ 4 คู่ ได้แก่ขนาดเล็กพิเศษ (XS), เล็ก (S), กลาง (M) และขนาดใหญ่ (L) และมีที่เกี่ยวหู (earhook) มาให้อีก 3 คู่ สายชาร์จ USB-C 1 เส้น คู่มือการใช้งานภาษาอังกฤษ แต่ที่ตัวผมว้าวมากๆเลยคือ มันแถม “ไม้ทำความสะอาดหูฟัง” มาให้ด้วย ดูใส่ใจดีจริงๆ
ดีไซน์ (Design)
เห็นครั้งแรกคือ “ว้าว” ครับ กล่องชาร์จมีขนาดเล็กมากๆ ขนาดพอๆกับลิปสติกแท่งนึงเลย สามารถพกใส่กรเะเป๋ากางเกงได้สบายๆ วัสดุกล่องชาร์จเป็นพลาสติกที่ทำผิดสัมผัสเงาๆด้านๆ ด้านหน้ากล่องชาร์จมีไฟ LED ใช้บอกสถานะหูฟังและด้านหลังจะเป็นช่องเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่ USB-C ครับ
พอเปิดกล่องชาร์จออกมา เราก็จะพบกับหูฟังทั้งสองข้าง ที่วางอยู่ในบล็อกชาร์จอย่างดี ที่ผมบอกว่าอย่างดีนั้น ผมหมายถึงบล็อกชาร์จหูฟังไม่ได้อยู่ลึกมาก ทำให้มีที่จับตัวหูฟังและหยิบหูฟังออกจากกล่องชาร์จได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องงงต้องแงะให้ลำบากเลย อีกทั้งแม่เหล็กที่ยึดหูฟังกับบล็อกชาร์จก็ดูดแน่นหนาดีมาก เขย่าๆแล้วหูฟังไม่หลุดเลยครับ
ขนาดกล่องชาร์จว่าเล็กแล้ว เจอตัวหูฟังยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ ตัวหูฟังมีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดกาแฟนิดเดียวเอง ด้วยขนาดไซส์นี้ ทำให้มันสวมใส่ได้สบายๆทั้งคนหูเล็กและหูใหญ่ เพียงแต่ว่าเราต้องเลิกขนาดจุกหูฟังและที่เกี่ยวหูให้เหมาะสม รับรองว่าใส่กระชับและสบายกับช่องหูทุกขนาดแน่นอน อีกทั้ง ด้วยความที่ขนาดหูฟังมันเล็กมาก ขณะเราใส่ ตัวหูฟังไม่ยื่นออกมาจากหูแทบจะเหมือนไม่ได้ใส่หูฟังเลยครับ
การสวมใส่ (Fitting)
ผมเลือกใช้จุกหูฟังขนาดกลาง (M) และที่เกี่ยวหูขนาดกลาง (M) สัมผัสการสวมใส่แรกคือ “สบาย” เลยครับ ขยับหัวซ้าย-ขวา เดิน-วิ่ง หรือทำกิจกรรมออกกำลังกายต่างๆก็ไม่รู้สึกว่าหูฟังจะคลอน ขณะสวมใส่ไม่รู้สึกว่าแน่นเกินไปและไม่หลวมเกินไปครับ
พอใส่ฟังเพลงไปนานๆสักช่วงเวลานึง (ประมาณ 2 ชม.) ก็แอบมีเคืองๆหูนิดๆ แต่ไม่ได้มากไปจนรู้สึกใส่ต่อไม่ไหว ในภาพรวมแล้ว Earfun Free Pro 2 เนี่ย ใส่สบายและใส่ได้นานครับ
ในเรื่องของการใส่ออกกำลังกายนั้นก็ทำได้ดีครับ ตัวหูฟังมาพร้อมกับมาตรฐานกันนํ้าระดับ IPX5 ซึ่งสามารถกันเหงื่อปริมาณเยอะๆจากการออกกำลังกายได้สบายๆ ผมเอา Earfun Free Pro 2 ไปใส่วิ่งออกกำลังกายหน้าบ้าน ขณะวิ่งไม่รู้สึกว่าหูฟังจะหลุดคลอนแม้หูฟังจะเปียกเหงื่อ แต่เวลาวิ่งก็แอบมีได้ยินเสียงลงส้นเท้าอึกๆบ้างพอสมควร แต่ถ้าหากเปิดเพลงฟังไปด้วยในระดับ volume ที่พอเหมาะ ส่วนตัวผมสามารถมองข้ามเสียงส้นเท้าไปได้สบายๆครับ
การควบคุม (Functioning)
การควบคุมฟังชั่นต่างๆก็จัดว่าทำมาให้อย่างครบถ้วนครับ ซึ่งการแตะฟังชั่นของ Earfun Free Pro 2 จะมีวิธีดังนี้ครับ
- เล่นเพลง / หยุดเพลง : แตะหูฟังข้าง L หรือ R x2
- ไปยังเพลงถัดไป : แตะหูฟังข้าง R x3
- เพิ่มเสียง : แตะหูฟังข้าง R x1
- ลดเสียง : แตะหูฟังข้าง L x1
- รับสาย / วางสาย : แตะหูฟังข้าง L หรือ R x2
- ปฏิเสธสาย : แตะหูฟังข้าง L หรือ R ค้าง 2 วินาที
- เรียก Voice Asistant : แตะหูฟังข้าง R x2
จุดที่ดีมากๆเลยคือ Earfun Free Pro 2 สามารถแตะเพิ่มเสียง-ลดเสียงที่หูฟังได้เลย ซึ่งสะดวกสบายมากๆ แทบจะไม่ต้องล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้มากดเพิ่มเสียง แต่จุดที่น่าเสียดายคือมันไม่มีฟังชัน “ย้อนเพลง” (Previous track) แต่ส่วนตัวผมไม่ถือนะ เพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้กดย้อนเพลงอยู่แล้ว ฮ่าๆ
ฟีเจอร์ต่างๆ (Features)
ทางแบรนด์ Earfun ชูโรงเจ้า Earfun Free Pro 2 ว่ามันเป็นหูฟังไร้สายที่มาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling ซึ่งเป็นระบบที่จะลดเสียงรอบๆตัวขณะใส่หูฟังฟังเพลงให้ลดลง ส่งผลให้เราได้ยินเสียงเพลงได้ชัดเจนขึ้น ซึ่ง..ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling ของ Earfun Free Pro 2 ก็จัดว่าทำได้ดีครับ อาจจะไม่ได้ตัดเงียบจนว้าวขนาดนั้น ยังมีพอได้ยินเสียงรอบๆตัวอยู่บ้าง แต่ถ้าเปิดเพลงฟังในระดับ volume ที่พอเหมาะ ก็แทบจะไม่รู้สึกถึงเสียงรอบๆตัว ได้ยินแต่เสียงเพลงที่ชัดเจนขึ้นกว่าแบบไม่เปิดโหมดครับ
อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมดดูดเสียงรอบข้าง Transparency Mode ที่เมื่อเราเปิดแล้ว เราจะได้ยินเสียงรอบๆตัวผ่านหูฟัง ซึ่งโหมดดูดเสียงของ Transparency Mode ของ Earfun Free Pro 2 จัดว่าทำได้ดี ถึงแม้โทนเสียงของโหมดดูดเสียงจะยังฟังดูดิจิตอลๆ แต่จัดว่าดังฟังชัด ใช้งานฟังเสียงรอบตัวได้จริงครับ
Earfun Free Pro 2 มาพร้อมกับ Low-Latency Game Mode ซึ่งเป็นโหมดที่จะลดความดีเลย์ (latency) ของเสียงขณะเราใช้เล่นเกม ซึ่งทาง Earfun เค้าเคลมมาว่า มันสามารถลดค่าความหน่วงได้ตํ่าถึง 80 มิลลิวินาทีเลยทีเดียว ในขณะที่หูฟังไร้สายรุ่นอื่นๆที่ไม่มีระบบนี้ ถ้าใช้เล่นเกมจะมีค่าความหน่วงอยู่แถวๆ 300-400 มิลลิวินาทีครับ
เท่าที่ผมทดสอบใช้ Earfun Free Pro 2 เล่นเกม PUBG ทั้ง iOS และ Android ต้องบอกเลยว่าถ้าใช้กับ iOS ที่ใช้ AAC codec เป็นมาตรฐานของระบบนั้น เมื่อเปิดโหมด Low-Latency Game Mode ขณะเล่นจะแทบไม่รู้สึกว่าเสียงดีเลย์เลย กดยิงเสียงติดนิ้วโป้งดีมาก สามารถใช้เล่นเกมได้อย่างจริงจัง ส่วนโทรศัพท์ Android จะมีดีเลย์มากกว่า iOS อยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่แทบไม่รู้สึกถ้าไม่เพ่งจับผิด สัญญาณขณะเปิดโหมดเล่นเกมก็สเถียรดี ไม่พบเสียง noise แปลกๆเลย ในภาพรวมแล้ว Earfun Free Pro 2 ใช้เล่นเกมได้ดีมากๆครับ
คุณภาพเสียง (Sound Quality)
Earfun Free Pro 2 ติดไมค์คุยโทรศัพท์มาข้างละ 3 ตัว โดยหลักการทำงานของไมโครโฟนก็เหมือนๆกับหูฟังไร้สายแบรนด์อื่นๆที่ ไมค์หูฟังข้างนึงจะทำหน้าที่รับเสียงพูด และไมค์หูฟังอีกข้างจะทำหน้าที่จับเสียงรบกวนรอบๆตัวเพื่อลดเสียงรบกวนตอนคุยโทรศัพท์ครับ
เท่าที่ทดสอบคุยโทรศัพท์ทั้งโทรผ่านแอปพลิเคชัน Line, โทรผ่านเครือข่าย และใช้ประชุม Video conference เสียงไมค์ของ Earfun Free Pro 2 ให้เสียงพูดที่อยู่ในระดับ “ฟังรู้เรื่อง” ครับ ถึงแม้เสียงพูดจะไม่ค่อยมีความเป็นธรรมชาติมาก แต่ก็อยู่ในระดับที่ปลายสายฟังเราพูดรู้เรื่อง แต่หากไปยืนคุยริมถนนใหญ่ หรือที่ที่มีเสียงรบกวนดังจัดๆ ปลายสายอาจจะฟังเสียงเราลำบาก เนื่องจากระบบตัดเสียงรบกวนของ Earfun Free Pro 2 สู้พวกเสียงรบกวนพวกรถยนต์ไม่ได้ แต่ถ้าคุยในร้านกาแฟ, ห้างสรรพสินค้า อันนี้พอใช้คุยได้ครับ
การดูหนังภาพกับเสียง sync กันดีแทบไม่รู้สึกดีเลย์ทั้ง Youtube, Netflix, Disney+ รวมไปถึงคลิปบน Facebook คุณภาพเสียงตอนดูหนังของ Earfun Free Pro 2 ทำได้ดีมากๆครับ ซาวด์เอฟเฟคกระหึ่ม ให้มิติเสียงตื้น-ลึกได้ชัดเจน และการแยกทิศทางเสียงก็ทำได้คมกริบ รวมไปถึงเสียงพูดของตัวละครชัดเจน เสียงอวบทุ้มนุ่มลึก ถ้าใครชอบใส่หูฟังดูหนังก็น่าจะชอบ Earfun Free Pro 2 ครับ
มาถึงเรื่องคุณภาพเสียงตอนฟังเพลงกันบ้าง ต้องบอกเลยครับว่าส่วนตัวผมได้ฟังครั้งแรกคือว้าวเลย ชอบมาก Earfun Free Pro 2 ให้คาแรคเตอร์เสียงที่ออกไปทางฟังสนุก เบสหนัก แรงปะทะเสียงกลองก็หนักแต่ไม่ทิ้งความหนัก-เบาของเสียง (dynamic)
ทดสอบกับเพลง Pop อย่าง Light Switch ของ Chalie Puth เสียงแรกที่ฟังโครตมันเลยคือ “เสียงกลอง” ที่มีแรงปะทะ (impact) ที่หนักฟังสนุก มีความรวดเร็วฉับไว มีมิติความหนัก-เบาที่ชัดเจน เสียงเบสออกลูกใหญ่มาก ได้ยินชัดตั้งแต่หัวโน๊ตเบสยัน subbass เลย คือภาคจังหวะ (rhythm) แน่นปั๊กมากๆ เสียงร้องของเฮีย Chalie Puth ก็ฟังโดดเด่น ประมาณเหมือนเราดูคอนเสิร์ตอยู่หน้าๆเวที โทนเสียงร้องใสกำลังดี ไม่อู้ ปลายเสียงร้องลากได้ไกลยันหางเสียงของเอฟเฟคเสียงสะท้อน (reverb) เลย พวกรายละเอียดเสียงดนตรีเช่น เสียงกีต้าร์, เสียงเครื่องสังเคราะห์เสียง (synthiziser), เสียงเครื่องเคาะเล็กๆน้อยๆก็ออกมาคมชัดทุกตัว ต้องขอชม Earfun Free Pro 2 เรื่องการขุดรายละเอียดเสียงดนตรีต่างๆเลยครับว่า ขุดเสียงดนตรีทุกๆเม็ดในเพลงนี้ออกมาให้เราได้ยินได้อย่างชัดฟังง่าย โดยที่ไม่ต้องเพ่งฟังให้ลำบากเลย นับว่าใช้ฟังเพลง Pop ได้สนุกมากครับ
มาฟังเพลง Rock หรือเพลงวงสตริงกันบ้างกับเพลง Basket Case ของ Green Day พอขึ้นเพลงมา ขึ้น intro มาจะเป็นเสียงกีต้าร์ใส่เอฟเฟคเสียงแตก (Distortion) ซึ่ง Earfun Free Pro 2 ก็ให้เนื้อเสียงกีต้าร์ที่ฟังมีเนื้อมีหนัง ชัด ไม่อู้หรือกุดทู่ ฟังดูเป็นซาวด์กีต้าร์เพลง Rock จริงๆ เสียงกลองฟังสนุก แรงปะทะเสียงกระเดื่องกลองนํ้าหนักกำลังดี ไม่บวม และเสียงร้องของพี่ Billie Joe ก็ชัด ฟังดูอยู่กลางเวทีในแบบที่ไม่จมไปกับเสียงดนตรีรอบๆ เสียงฉาบแฉของกลองชุดก็มีความชัด ใส ฟังไม่ทิ่มหู และเสียงเบสที่เด่นที่หัวโน๊ตเบส มี ซับเบสรองพื้นหลังอยู่คลอๆ นอกจากจะฟังเพลง Pop ดีแล้ว Earfun Free Pro 2 ก็ฟังเพลง Rock สนุกมากๆเช่นเดียวกันครับ
มาลองฟังเพลง Jazz เบาๆด้วยเพลง Come Away With Me ของ Norah Jones กันบ้างครับ ซึ่ง Earfun Free Pro 2 ก็ถ่ายทอดเสียงดนตรีต่างๆออกมาได้ดี เริ่มจากเสียงดับเบิ้ลเบส ที่ให้รายละเอียดเสียงนิ้วดีดสายได้ชัด และมวลเสียงเบสออกเป็นลูกฟังแน่น เสียงไล่โน๊ตเปียโนก็ไล่ระดับได้ต่อเนื่อง ละมุนฟังลื่นหู เสียงร้องโดดเด่น ชัดเจน โทนเสียงเหมาะสม ไม่อู้ไป ไม่แหลมไป จุดที่ผมชอบมากๆเลยคือเสียงเกากีต้าร์ที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียงฟังเพราะมากๆ แม้จะเป็นเสียงกีต้าร์ที่ดูเป็นตัวประกอบ แต่ Earfun Free Pro 2 กลับขุดออกมาให้ได้ยินได้อย่างชัดเจน ไม่รู้สึกว่าโดนเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆรบกวนเลยครับ
สรุป : Earfun Free Pro 2 เป็นหูฟังที่ให้โทนเสียงที่ฟังได้ทุกแนวดนตรีจริงๆ แต่จุดแข็งที่ส่วนตัวผมชอบในหูฟังรุ่นนี้คือ เวทีเสียงและมิติเสียง ที่แยกแยะเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในเพลงๆนึงออกมาได้ชัดฟังดูเป็นตัวๆ เรียงตัวกันสวยงามมาก หากใครชอบหูฟังที่ให้เสียงฟังสนุกๆ และแยกเสียงดนตรีออกมาดีๆ มีช่องไฟ ท่านน่าจะชอบเสียงของ Earfun Free Pro 2 ครับ
แบตเตอรี่ (Battery)
Earfun Free Pro 2 เคลมแบตเตอรี่มาที่ 6 ชม. ต่อการใช้งานหูฟัง 1 รอบ และสามารถชาร์จเพิ่มกับกล่องชาร์จได้อีกประมาณ 3-4 รอบ หรือคิดเป็น 24 ชม. รวมทั้งกล่องทั้งหูก็อยู่ที่ 30 ชม. พอดี อีกทั้งกล่องชาร์จยังรองรับชาร์จไร้สาย Wireless Charging อีกด้วย ซึ่งใครมีแท่นเสียบสายชาร์จก็สามารถชาร์จ Earfun Free Pro 2 ได้สบายๆครับ
เท่าที่ผมทดสอบใช้งานเอง ส่วนใหญ่ใช้ฟังเพลง (ความดัง 70%) มีแวะดู Youtube, เปิด Game Mode เล่นเกมบ้างนิดหน่อย เปิดโหมดตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling ตลอด ผมใช้ได้ประมาณ 4 ขม. กับอีกเกือบ 20 นาที ถามว่าตกสเปกไหม ? บอกตามตรงว่าตก แต่การใช้งานของผมก็ต้องบอกเลยว่าใช้หนักพอสมควร เปิดเสียงก็ดัง เปิด ANC ตลอด และมีแวะดูหนังแล้วเปิดโหมด Game Mode เล่นเกมสองสามตาด้วย ส่วนตัวผมจัดว่า 4 ชม.เนี่ย เพียงพอต่อการใช้งานมากๆครับ
สรุป (Conclusion)
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว หูฟังไร้สายราคาสองพันกว่าบาทอย่าง Earfun Free Pro 2 นั้น ในแง่ของการใช้งานทั่วไปนั้นจัดว่าทำได้ดีครับ ถึงแม้โหมดตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling, โหมดดูดเสียงรอบข้าง Transparency Mode และการใช้คุยโทรศัพท์จะทำได้ในระดับพอใช้ได้ แต่เรื่องการสวมใส่, การเล่นเกมและดูหนังถือว่าทำได้ดีเกินราคาไปมาก อีกทั้งคุณภาพเสียงก็ยังทำได้ดีเกินราคาไปอีกมากๆเช่นกันเนื่องจากมันให้นํ้าเสียงที่ครบ ฟังสนุก และฟังเพลงได้ทุกแนวดนตรี จะ Pop ก็ฟังเพลิน หรือจะ Rock ก็ฟังสนุก มันจึงตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่มีไลฟ์สไตล์ชอบใส่หูฟังฟังเพลงเสียงดีๆ เน้นดูหนังและเล่นเกมในชีวิตประจำวัน ก็ต้องบอกเลยครับว่าในราคาระดับนี้ Earfun Free Pro 2 ถือว่าคุ้มค่าที่จะหามาใช้งานอย่างยิ่งครับ